แบกเป้บุกเดี่ยวอินโด : ตอนที่ 9 ลุยคาวาอีเจี้ยน ทะเลสาบกำมะถัน ด้วยการแชร์ทัวร์กับสาวเมืองผู้ดี

ที่ตั้งของคาวาอีเจี้ยนอยู่ในเขตเซมโพล (Sempol) เมืองบอนโดโวโซ (Bondowoso) การเดินทางจากเมืองโปรโบลิงโกใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง 

ด้านหน้าคาติมอร์โฮมสเตย์ เมื่อเดินผ่านลานจอดรถเข้ามา

กว่าจะถึงคาติมอร์โฮมสเตย์ (Catimor Homestay) ที่พักยอดฮิตก็เกือบค่ำ เลยอดเดินสำรวจรอบๆ เลย เห็นเขาว่าที่นี่มีไร่กาแฟด้วย เพราะชื่อคาติมอร์ก็มาจากชื่อสายพันธุ์หนึ่งของกาแฟอาราบิก้า พอก้าวเท้าลงจากรถตู้ปุ๊บ ก็พบว่าบรรยากาศของโฮมสเตย์แห่งนี้วุ่นวายใช้ได้ทีเดียว เพราะบริษัททัวร์ส่วนใหญ่ต่างพากรุ๊ปทัวร์ของตัวเองมาพักที่นี่กันทั้งนั้น เท่าที่กะประมาณด้วยสายตา จำนวนแขกคืนนี้น่าจะไม่ต่ำกว่าสองร้อยคน

ลานกว้างที่มีโต๊ะอาหารตั้งเรียงราย
ห้องพักจะแบ่งออกเป็นเรือนหลังใหญ่ คล้ายๆ ห้องนอนรวมเวลาไปเข้าค่ายลูกเสือ เราลองชะโงกหน้าเข้าไปดู มีแต่คนอินโดนีเซียเต็มไปหมดเลย ทั้งผู้ใหญ่และลูกเด็กเล็กแดงส่งเสียงกันเจี๊ยวจ๊าว แล้วก็จะมีลานกว้างๆ ตั้งโต๊ะอาหารหลายสิบโต๊ะเชื่อมต่อกับโซนสระว่ายน้ำ ลานกว้างนี้คั่นระหว่างเรือนหลังใหญ่กับอีกฝั่งที่เป็นห้องพักกั้นยาวเป็นแถวๆ 

ห้องพักที่เรียงติดกันเป็นแถวยาว

สภาพห้องค่อนข้างเก่าและห้องน้ำไม่สะอาดเท่าไหร่ แต่ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเดี๋ยวตีหนึ่งเราก็ต้องเช็กเอาท์ เพื่อนั่งรถไปทะเลสาบคาวาอีเจี้ยนแล้ว ได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น 




แต่เป็นไม่กี่ชั่วโมงที่หายนะใช้ได้ เราอุตส่าห์รีบเข้านอนตั้งแต่หนึ่งทุ่ม เพราะอยากสะสมแรงให้สภาพร่างกายพร้อมสักหน่อย เนื่องจากขาแข้งยังระบมมาจากโบรโม่พอสมควร ถ้าพักผ่อนน้อยอีกเกรงว่าจะไปเป็นลมเป็นแล้งบนเขาได้ ประมาณสี่ทุ่มปวดฉี่เลยลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่พอจะกลับมานอนอีกรอบดันนอนไม่หลับ เพราะข้างนอกเสียงดังหนวกหูมาก มีทั้งเสียงผู้ใหญ่คุยกัน เสียงเด็กวิ่งเล่นหัวเราะ ทีแรกก็คิดว่าเป็นพวกฝรั่งที่ไม่นอนแล้ว คงนั่งคุยกันรอให้ถึงเวลาตีหนึ่ง แต่พอเปิดม่านออกไปดู ลานกว้างไม่มีใครสักคน! เสียงมาจากเรือนหลังใหญ่ที่คนอินโดนีเซียพัก พวกนี้คงไม่ได้กะจะไปอีเจี้ยนตั้งแต่ตีหนึ่ง เลยไม่จำเป็นต้องรีบเข้านอน...แต่ก็ช่วยเกรงใจคนอื่นบ้างเถอะ กว่าเสียงจะสงบก็เกือบๆ เที่ยงคืน ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เที่ยงคืนครึ่ง เหลือเวลาให้นอนอีกแค่สามสิบนาทีค่ะ 

จริงๆ ถ้าจะมาดูแค่ทะเลสาบกำมะถันอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีหนึ่งก็ได้ แต่เพราะที่นี่มีไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งก็คือบลูไฟเออร์ (Blue Fire) เปลวไฟที่เกิดจากลาวา ซึ่งปกติลาวาจะมีสีแดง แต่ความพิเศษของอีเจี้ยนคือลาวาบริเวณนี้มันเกิดจากการเผาไหม้กำมะถัน ทำให้เปลวไฟกลายเป็นสีน้ำเงิน และเปลวไฟสีน้ำเงินแบบนี้ในโลกมีให้ดูแค่สองที่เท่านั้นคืออินโดนีเซียกับไอซ์แลนด์ 

ตอนตีหนึ่งก่อนออกเดินทาง เราต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานกับพนักงานโรงแรม 150,000 รูเปียห์ (390 บาท) และรับอาหารเช้าเป็นขนมปังทาเนยสองแผ่นประกบกันกับไข่ต้มหนึ่งใบให้ไปกินบนรถ ส่วนชากาแฟมีให้กินฟรีที่โรงแรม

รถตู้พาเรามาถึงทางเข้าอุทยานประมาณตีสอง จากนั้นก็ต้องเดินเข้าไปอีกราวๆ สามกิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็จะถึงปากทางลงไปที่ทะเลสาบ โดยบริษัททัวร์จัดไกด์มาให้สองคน ไกด์คนแรกเดินไปกับกลุ่มของเบ็กกี้ซึ่งแข็งแรงและเดินเร็วมาก ส่วนไกด์อีกคนคอยตามครอบครัวอินโดนีเซียกับลุงออสซี่ เราเดินไม่ทันกลุ่มแรกและรู้สึกว่ากลุ่มหลังเดินช้าไปหน่อย เลยเดินคนเดียวอยู่กลางๆ แบบไม่มีไกด์ประกบ

พอเดินมาใกล้ถึงปากทางที่จะต้องไต่ลงไปดูเปลวไฟสีน้ำเงิน ก็เริ่มมีคนงานเหมืองมาเกาะแกะอาสาเป็นไกด์นำทาง ทีแรกเราก็เมินเฉยไม่สนใจ แต่สักพักเดินคนเดียวเริ่มเบื่อๆ เลยชวนเขาคุยนิดๆ หน่อยๆ ก็ดูท่าทางไม่มีพิษภัย เขาบอกว่ากำลังจะลงไปแบกกำมะถันขึ้นมาพอดี และเห็นเราสะดุดหกล้มบ่อยเลยเป็นห่วง เดี๋ยวจะเดินไปเป็นเพื่อน แล้วก็เข้ามาจับมือพาเดินลงเขาหน้าตาเฉย 

ด้วยความที่เราเป็นคนซุ่มซ่ามขั้นเทพ ปกติเดินในห้างยังสะดุดขาตัวเองล้มเลย เจอทางบนเขาชันๆ เข้าไปก็ลำบากอยู่เหมือนกัน เลยคิดว่ามีคนเดินเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวลงไปถึงข้างล่างแล้วคงให้เงินเขานิดหน่อยพอเป็นสินน้ำใจสัก 10,000 รูเปียห์ (26 บาท) เพราะคนงานเหมืองพวกนี้ต้องแบกกำมะถันขึ้นเขาทีละ 70-80 กิโลกรัม แลกกับค่าจ้างน้อยนิดที่แทบไม่คุ้มกับสุขภาพที่เสียไป การมีรายได้จากนักท่องเที่ยวเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะทำให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นได้บ้าง 



โลกสวยอยู่ได้ไม่นาน เวลาผ่านไป 30 นาที ตะเกียกตะกายลงไปถึงเหมืองได้สำเร็จ ไกด์เรียกเงิน 100,000 รูเปียห์ (260 บาท) เอ่อะ...ถ้าไม่จ่ายเขาจะผลักเราตกบ่อกำมะถันมั้ย แต่ถ้าจ่ายตามราคานั้นก็ไม่ไหวนะ แพงเว่อร์!! เราเลยใช้แผนเดิม ควักเงินเฉพาะแบงค์ย่อยออกมา

“ฉันเหลือเงินอยู่แค่นี้ เดี๋ยวต้องนั่งรถไปสนามบินอีกยังไม่รู้เลยว่าเงินจะพอมั้ย” ฉันตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอีกรอบ
“เอามาให้หมดนั่นแหละ!” คนงานเหมืองตะคอกใส่อิชั้นค่าาาาา
“ไม่ได้นะ แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนไปสนามบิน” ฉันเริ่มใจไม่ดีสุดๆ รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างแรง แต่แถวนี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก เขาคงไม่กล้าทำอะไรเราหรอกมั้ง เลยยื่นให้ 20,000 รูเปียห์ (52 บาท) “ฉันให้ได้แค่นี้แหละ” แล้วก็รีบจ้ำอ้าวหนีไปทางอื่นทันที

จะไม่มีคำว่า ‘โลกสวย’ ในการใช้ชีวิตที่ประเทศนี้อีกต่อไป!! 

ความคิดเห็น

รูปภาพของฉัน
pOndjaa
ชื่อ ปอนด์ เกิดและเติบโตที่ชานเมืองกรุงเทพฯ หลงใหลการอ่านหนังสือ ชอบท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม สนใจเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ ปัจจุบันทำงานเป็นนักเขียนอิสระและรับสัมภาษณ์บุคคล สนุกกับการดูซีรี่ย์และทดลองสูตรอาหารใหม่ๆ เมื่อมีเวลาว่าง ติดต่อ Line id : pond_jaa