คืนนั้นฉันเข้านอนตั้งแต่สองทุ่ม และตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีสอง เผื่อเวลาเล็กน้อยสำหรับการล้างหน้า แปรงฟัน โบกครีมกันแดด โบ๊ะแป้ง และเขียนคิ้ว ถึงเที่ยวแบบลุยๆ ก็ขอมีคิ้วหน่อย เพราะถอยไม้เซลฟี่มาสดๆ ร้อนๆ เพื่อทริปนี้โดยเฉพาะ พระอาทิตย์ที่นี่ขึ้นประมาณตีห้า ส่วนใหญ่คนที่เทร็กกิ้งจะเริ่มออกเดินจากหน้าโรงแรมเซมาราอินดะห์เวลาตีสาม
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนเวลาตีสามเล็กน้อย ฉันถือไฟฉายและห่อร่างด้วยเสื้อกันหนาวสามชั้น ออกมายืนสั่นท่ามกลางอุณหภูมิราวๆ 10 องศา มองซ้ายมองขวาหาเพื่อนร่วมทาง แต่ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดๆ จึงลองเดินไปข้างหน้าสัก 500 เมตร เผื่อจะมีใครล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอใครอยู่ดี
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนเวลาตีสามเล็กน้อย ฉันถือไฟฉายและห่อร่างด้วยเสื้อกันหนาวสามชั้น ออกมายืนสั่นท่ามกลางอุณหภูมิราวๆ 10 องศา มองซ้ายมองขวาหาเพื่อนร่วมทาง แต่ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดๆ จึงลองเดินไปข้างหน้าสัก 500 เมตร เผื่อจะมีใครล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอใครอยู่ดี
ทางข้างหน้าดูเงียบงันและมืดสนิทเดินกว่าจะไปคนเดียว ฉันเลยเดินย้อนกลับไปรอแถวหน้าโรงแรมเหมือนเดิม จนเวลาตีสามเป๊ะก็เริ่มเห็นแสงไฟฉายวิบวับๆ มีฝรั่งกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากโฮมสเตย์ตรงข้ามที่พักรูหนูของฉัน และมารวมตัวกันแถวๆ ที่ฉันยืนอยู่ เพื่อรอเพื่อนอีกกลุ่มออกมาจากที่พัก ทุกคนคงทำความรู้จักกันมาก่อนล่วงหน้า จึงนัดเวลาเริ่มเดินพร้อมกัน ส่วนฉันไม่รู้จักใครเลย ภาษาอังกฤษก็ไม่คล่อง เลยได้แต่สงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ในความมืด รอจนคนกลุ่มใหญ่เริ่มออกเดินแล้วค่อยเดินตามต้อยๆ
เดินไปได้สักพักเหงื่อก็เริ่มซึมตามแผ่นหลัง ฉันถอดเสื้อกันหนาวออกสองชั้น เหลือแต่เสื้อลองจอนด้านในบางๆ ทับด้วยเสื้อฮีทเทคของยูนิโคล่ และเดินจ้ำเอาๆ แบบไม่หยุดพักเลย เพราะกลัวหลุดออกจากกลุ่ม ช่วงขาก็สั้นเหลือเกิน แต่ก็ต้องพยายามสาวเท้ารัวๆ ให้ทันฝรั่งตัวใหญ่ โดยเฉพาะช่วงใกล้ถึงจุดชมวิวที่เป็นทางค่อนข้างลาดชันนั้น ดึงแรงให้ล้าไปพอสมควร ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงฉันก็มาถึงจุดชมวิวเซรูนิเป็นคนแรกๆ ปรากฏว่ามีคนอินโดนีเซียกลุ่มหนึ่งเอาถุงนอนขึ้นมานอนบนนี้ตั้งแต่เมื่อคืนด้วย! ประหยัดค่าที่พักดีนะ แต่อุณหภูมิ 10 องศาแบบนี้ถ้าเป็นเราคงหนาวตายแน่ สำหรับใครที่คิดจะมาจุดชมวิวด้วยวิธีการเดินแบบนี้ แล้วมากันหลายคนไม่ได้ฉายเดี่ยวแบบฉัน ไม่ต้องรีบเดินมากก็ได้นะ เดินชิลล์ๆ หน่อย เดินไปคุยกันไปใช้เวลาสักชั่วโมงครึ่งก็ยังทันเหลือแหล่
ฉันเอากระเป๋าเป้ไปวางจับจองมุมที่คิดว่าน่าจะดีที่สุด แล้วก็หยิบขนมกับนมที่ซื้อไว้ ออกมากินรองท้อง พอไม่ได้ขยับตัวความหนาวก็เริ่มจู่โจมอีกครั้ง จนต้องควักเสื้อกันหนาวออกมาใส่จนครบสี่ชั้นเหมือนเดิม ฉันซุกมือในเสื้อกันหนาวของอาม่าที่ยืมมา และสูดกลิ่นจางๆ ที่ติดเสื้อให้หายคิดถึงบ้าน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ซื้อมาอาม่าไม่เคยใส่เลยนี่หว่า เขาซื้อมาตอนจะไปทัวร์เมืองจีนแล้วไม่ได้ไป ...มีแต่กลิ่นอับตู้เสื้อผ้า
“กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนเหงามากกว่าเสาไฟฟ้า”
ประโยคหนึ่งจากหนังไทยเรื่อง หมานคร ที่เข้าฉายเมื่อสิบกว่าปีก่อนว่าไว้อย่างนั้น ก่อนมีแฟนฉันเคยเป็นคนหนึ่งที่นั่งเหงาตามมุมต่างๆ ของกรุงเทพฯ อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เหงาเท่าตอนนี้...ที่แอบหนีแฟนมาเที่ยวคนเดียว ขณะที่แสงแรกของวันค่อยๆ แต้มสีลงบนท้องฟ้า อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย คนมาเป็นคู่เฉลิมความโรแมนติกด้วยการกอดกันกลมแลกประจุความร้อน ฉันกอดตัวเองแน่นและมองพวกเขาเหล่านั้นด้วยสายตาอาฆาต ‘กอดกันอยู่นั่นแหละ อย่าให้ตูมากับแฟนบ้างนะ ฮึ่ยยยย’
ช่วงเวลาที่ฉันชอบที่สุดขณะเฝ้ามองโบรโม่คือ ตอนที่ฟ้ายังมืดสลัวเห็นโบรโม่และผองเพื่อน ได้แก่ ภูเขาไฟบาต๊อกและเซมารูเป็นภาพเลือนลาง ตั้งตระหง่านพ่นควันเงียบๆ อยู่ในความมืด ก่อนที่แสงสีส้มจะเคลื่อนตัวจากขอบฟ้า มาจัดองค์ประกอบของภาพตรงหน้าให้ชวนมองยิ่งขึ้น มองไปทางซ้ายของกลุ่มภูเขาไฟ เราจะเห็นทะเลหมอกกว้างสุดลูกหูลูกตา เหมือนมีคนเอาปุยนุ่นนับล้านตันมาถมทับซ่อนหมู่บ้านเอาไว้ กระทั่งหมอกเริ่มจางหายไปนั่นแหละ สิ่งปลูกสร้างเล็กจิ๋วเมื่อมองจากมุมสูงถึงเผยตัวออกมาทักทาย
หลังจากนั้น เมื่อฟ้าเปิดเต็มที่เราก็จะได้เห็นภูเขาไฟสามสหายกลางทะเลหมอกแบบเต็มๆ ตา สวยมาก...จนรู้สึกเหมือนตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ แต่ไม่ใช่หรอกถ้าคนอย่างเราตายน่าจะตกนรกมากกว่า ฉันปีนป่ายหามุมถ่ายรูปจนพอใจทั้งรูปภูเขาไฟ รูปทะเลหมอก รูปจุดชมวิว และแน่นอนว่าต้องไม่ลืมเซลฟี่
ข้อดีของจุดชมวิวเซรูนิคือนักท่องเที่ยวแออัดน้อยกว่าเปนันจากัน ประหยัดค่ารถจี๊ป และได้ออกกำลังกายยามเช้าด้วยการเดินชิลล์ๆ แค่หนึ่งชั่วโมงเอง ...ทีแรกก็คิดแบบนี้แหละ แต่สภาพความเป็นจริงคือเดินมาหนึ่งชั่วโมง ก็ต้องเดินกลับหมู่บ้านอีกหนึ่งชั่วโมง แถมยังต้องเดินไป-กลับปากปล่องภูเขาไฟ โดยกลับไปตั้งต้นจากจุดเดิมที่หน้าโรงแรมเซมาราอินดะห์อีก รวมๆ แล้วถ้าไม่ใช้บริการรถจี๊ปหรือขี่ม้าทุ่นแรงเลย จะต้องเดินประมาณ 4-5 ชั่วโมง ระยะทางทั้งหมดราว 15 กิโลเมตร
สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำแค่นี้มันคงจิ๊บๆ แต่ชะนีน้อยหอยสังข์อย่างฉันที่ปกติเดินไกลสุดแค่จากบีทีเอสสยามข้ามสกายวอร์กไปเซ็นทรัลเวิลด์ เจอแบบนี้เข้าไปง่อยเปลี้ยไปทั้งร่างเลยค่ะ จากที่ตั้งใจว่าจะไปคาวาอีเจี้ยนต่อทันที เลยเปลี่ยนแผนขอนอนขึ้นอืดที่หมู่บ้านนี้ต่ออีกหนึ่งคืน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น